กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในปัจจุบัน
ในประเทศไทย ปัญหาสิ่งแวดล้อมถือว่าเป็นปัญหาระดับชาติ จนในระยะหลัง ต้องมีการระบุแนวนโยบายการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทุกฉบับ ในส่วนของการอธิบายกฎหมายสิ่งแวดล้อมทุกฉบับนั้น ผู้อ่านคงหาอ่านได้โดยง่าย จากคำอธิบายกฎหมายสิ่งแวดล้อม ที่นักวิชาการในมหาวิทยาลัยหลายท่าน ได้เขียนอธิบายไว้โดยละเอียดแล้ว
ในบทความนี้ ผู้เขียนจึงขอกล่าวถึงบทบัญญัติของกฎหมายสิ่งแวดล้อมบ้าง เท่าที่จำเป็นต่อการทำความเข้าใจบทความนี้ ผู้เขียนจึงขอจำกัดประเด็นในการนำเสนอ โดยจะกล่าวแต่เฉพาะภารกิจของศาลยุติธรรม ที่จะใช้กฎหมายในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น โดยผู้เขียน จะได้เปรียบเทียบกับหลักกฎหมายของประเทศ ที่สามารถใช้กฎหมายจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็วและเป็นธรรมมาแล้ว
๑. กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เป็นความผิดทางอาญา หรือที่เรียกว่า Environmental Crime นั้น อาจแยกฐานความผิดได้ ๓ ประการ
ประการแรก คือ ความผิดเนื่องจากการก่อให้เกิดมลพิษ
ประการที่สอง คือ ความผิดฐานละเว้นไม่ปฏิบัติตามมาตรการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และ
ประการที่สาม คือ ความผิดฐานกระทำผิดเงื่อนไข ที่เจ้าพนักงานอนุญาตหรือคำเตือนที่เจ้าพนักงานแจ้งให้ทราบ
โดยภาพรวม แล้วกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่มีโทษทางอาญาของประเทศไทย เป็นบทบัญญัติที่สอดคล้องกับทฤษฎีดังกล่าวอยู่แล้ว ข้อที่น่าสังเกตคือ การกระทำที่จะเป็นความผิดกฎหมายอาญาสิ่งแวดล้อมนี้ เนื่องจากเป็นกฎหมายเทคนิค (technical law) กล่าวคือ ที่เป็นความผิดทางอาญาเพราะกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด (Mala prohibita) เช่น ความผิดตามพระราชบัญญัติจราจร ไม่ใช่เพราะเป็นความผิดต่อเมื่อมีเจตนา (Mala in se) อย่างเช่น ความผิดฐานลักทรัพย์
ดังนั้น การกระทำที่จะเป็นความผิดอาญาตามกฎหมายอาญาสิ่งแวดล้อมนี้ จึงควรเป็นความผิดที่ไม่ต้องการเจตนาเป็นองค์ประกอบความผิด
๒. กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เป็นความรับผิดทางแพ่ง กฎหมายที่กล่าวถึงความรับผิดทางแพ่งที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมนั้น ได้แก่
๒.๑ ความรับผิดทางแพ่งตามพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ บทบัญญัติที่สำคัญได้แก่ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๓๕ บัญญัติไว้ในมาตรา ๙๖ และมาตรา ๙๗ ซึ่งให้ผู้ที่เป็นต้นเหตุแห่งความเสียหาย ที่เกิดขึ้นแก่สิ่งแวดล้อมและหรือทรัพยากรธรรมชาติ เป็นผู้จ่ายค่าเสียหายทั้งหมด ทั้งนี้เป็นไปตามหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (The polluter pays principle)
หลักนี้อธิบายได้ว่า ผู้ก่อให้เกิดมลพิษ จะต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง กับการบริหารจัดการระบบการกำจัดมลพิษ เช่น ค่าบำบัดน้ำเสีย ค่าเก็บขยะ นอกจากนี้ จะต้องรับผิดชอบในค่าเสียหาย ที่เป็นผลมาจากมลพิษที่ตนเองก่อให้เกิดด้วย เช่น ค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดและกำจัดน้ำมันที่รั่วไหลจากโรงงานของตน ที่รัฐต้องจ่ายไป
มาตรา ๙๖ เป็นความรับผิดในความเสียหายที่ก่อให้เกิดมลพิษ ซึ่งเอกชนที่ได้รับความเสียหาย และรัฐมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน บัญญัติว่า
“แหล่งกำเนิดมลพิษใด ก่อให้เกิดหรือเป็นแหล่งกำเนิดของการรั่วไหล หรือแพร่กระจายของมลพิษ อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายหรือสุขภาพอนามัย หรือเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นหรือของรัฐเสียหายด้วยประการใด ๆ เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษนั้น มีหน้าที่ ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายเพื่อการนั้น ไม่ว่าการรั่วไหล หรือแพร่กระจายของมลพิษนั้น จะเกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ของเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษหรือไม่ก็ตาม เว้นแต่ในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่า มลพิษเช่นว่านั้น เกิดจาก
(๑) เหตุสุดวิสัยหรือการสงคราม
(๒) การกระทำตามคำสั่งของรัฐบาลหรือเจ้าพนักงานของรัฐ
(๓) การกระทำหรือละเว้นการกระทำของผู้ที่ได้รับอันตราย หรือความเสียหายเองหรือของบุคคลอื่น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงหรือโดยอ้อม ในการรั่วไหลหรือการแพร่กระจายของมลพิษนั้น
ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหาย ซึ่งเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษ มีหน้าที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง หมายความรวมถึง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ทางราชการ ต้องรับภาระจ่ายจริงในการขจัดมลพิษที่เกิดขึ้นด้วย ”
มาตรา ๙๗ เป็นความรับผิดในกรณีความเสียหายเกิดขึ้นกับทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งรัฐเท่านั้นที่มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน บัญญัติว่า
“ ผู้ใดกระทำหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใด โดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเสียหาย แก่ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นของรัฐหรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐ ตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย สูญหายหรือเสียหายไปนั้น ”
๒.๒. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยละเมิด หลักกฎหมายละเมิด ที่ใช้กับความรับผิดทางแพ่งที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่
๒.๒.๑ หลักความรับผิดในผลแห่งละเมิดเนื่องจากการกระทำของตนเอง ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๐ ตามมาตรา ๔๒๐ บุคคลที่จะรับผิดในผลแห่งละเมิดนี้ ต้องมีการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อและในมาตรา ๔๒๒ เป็นความรับผิดฐานละเมิด เมื่อมีการกระทำหรืองดเว้นไม่กระทำการ ที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ประสงค์จะปกป้องบุคคลอื่น
กฎหมายสิ่งแวดล้อมเป็นกฎหมายที่ก่อให้เกิดหน้าที่แก่ผู้เกี่ยวข้อง ที่จะต้องปฏิบัติตาม โดยมีวัตถุประสงค์จะปกป้องบุคคลอื่น การละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือบกพร่อง ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ย่อมเป็นการงดเว้นไม่กระทำการตามหน้าที่ ที่ตนต้องทำเป็นการกระทำละเมิด โดยมีเหตุผลพื้นฐานมาจากหน้าที่ที่ระบุไว้ในกฎหมายสิ่งแวดล้อม นั่นเอง ดังนั้น หากผู้ประกอบการท่านใด ไม่ปฏิบัติตาม ย่อมส่งผลเสียและได้รับการลงโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ นั่นเอง ยังไง ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ประกอบการทุกท่าน จะให้ความสำคัญและปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆของกฎหมายสิ่งเเวดล้อมกันนะครับ แล้วพบกับผม Dr.UBA ได้ใหม่ โอกาสหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
ขอขอบคุณ
บทความอ้างอิง จาก : http://www.dlo.co.th/node/252
รูปประกอบ จาก : http://img.ehowcdn.com, http://qualityassurance.synthasite.com, http://www.earthtimes.org, http://www.csrandthelaw.com, http://www.fastcoexist.com, http://lib.bioinfo.pl
บทความด้านกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดการมลพิษทางน้ำ
กฎกระทรวงอุตสาหกรรม, กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการมลพิษทางน้ำ, กฎหมายบำบัดน้ำเสีย, กฎหมายสิ่งแวดล้อม, กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในปัจจุบัน, กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เป็นความผิดทางอาญา, กฎหมายสิ่งแวดล้อมไทย, กรมโรงงาน, กระทรวงอุตสาหกรรม, การจัดการน้ำ, การจัดการน้ำและน้ำเสีย, การบำบัดน้ำเสีย, ความสำคัญและข้อกำหนดของกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดการมลพิษทางน้ำ, ค่าน้ำไม่ผ่าน, น้าเสีย, น้ำ, น้ำเสีย, น้ำเสียที่ยังไม่ได้รับการบำบัด, น้ำเสียอุตสาหกรรม, บำบัดน้ำ, บำบัดน้ำเสีย, ประกาศกรมโรงงาน, ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม, ปล่อยน้ำทิ้ง, ปล่อยน้ำเสีย, ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการบริหารจัดการน้ำและน้ำเสียแบบครบวงจร, ยูบีเอ, แหล่งน้ำสาธารณะ, โทษของการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม, โรงงาน, Dr.UBA, Environmental, Environmental Crime, Thailand Water Pollution Laws, uba