สวัสดีค่ะทุกๆท่าน กลับมาพบกับดิฉัน Dr.UBA กันอีกครั้งนะคะ วันนี้ จะขอนำเสนอบทความเกี่ยวกับกระบวนการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีทางชีวภาพนะคะ
กระบวนการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีทางชีวภาพ
กระบวนการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีทางชีวภาพโดยอาศัยจุลินทรีย์ในการบำบัดน้ำเสีย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กระบวนการใหญ่คือ กระบวนการแบบใช้อากาศ (aerobic digestion) และกระบวนการแบบไร้อากาศ (anaerobic digestion)
กระบวนการแบบใช้อากาศ
สารอินทรีย์ถูกย่อยสลายไปเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีการสร้างเซลล์จุลินทรีย์ขึ้นจำนวนมาก (ประมาณร้อยละ50 ของสารอินทรีย์ในน้ำเสียถูกเปลี่ยนเป็นเซลล์ของจุลินทรีย์)
แต่มีข้อเสียคือต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำบัดสูง เนื่องจากต้องมีการพ่นอากาศให้กับระบบ และยังต้องกำจัดตะกอนจุลินทรีย์ส่วนเกิน นอกจากนี้กระบวนการบำบัดแบบนี้ไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กับน้ำเสียที่มีปริมาณสารอินทรีย์สูงมากๆ เนื่องจากมีข้อจำกัดในการให้ออกซิเจนอย่างเพียงพอกับระบบ
กระบวนการบำบัดน้ำเสียแบบไร้อากาศ
กระบวนการนี้สารอินทรีย์ในน้ำเสียประมาณร้อยละ 80-90 ถูกย่อยสลายเป็นก๊าซมีเทน และคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งรวมเรียกว่า ก๊าซชีวภาพ (Biogas)
ระบบดังกล่าวนี้ จุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยสลายมีการเจริญเติบโตค่อนข้างช้าทำให้ระบบเริ่มต้น (Start up) ได้ช้า อีกทั้งประสิทธิภาพของระบบในการบำบัดต่ำจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการกักเก็บของเหลว (Hydraulic Retention Time; HRT) นานขึ้น ระบบบำบัดจึงมีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ระบบยังมีการปรับตัวไม่ดีนักต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม และในระหว่างกำจัดบางครั้งอาจมีก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (Hydrogen Sulfide) เกิดขึ้นด้วย ทำให้มีกลิ่นเหม็น ระบบนี้จึงมีข้อจำกัดการใช้งาน แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับระบบบำบัดแบบใช้อากาศ พบว่า มีข้อดีและข้อเสียดังนี้
ข้อดี | ข้อเสีย |
1. ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ 2. มีการเกิดตะกอนส่วนเกินน้อยมาก 3. ต้องการสารอาหารโดยเฉพาะ N, P ต่ำ 4. สามารถเก็บเชื้อจุลินทรีย์ไว้ได้นาน 5. ได้ก๊าซชีวภาพมาเป็นพลังงาน 6. ไม่ต้องการเติมออกซิเจนให้กับระบบ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดสามารถย่อยสลายxenobiotic compounds เช่น hlorinated aliphatic hydrocarbons และ lignin ได้ 7. สามารถรับน้ำเสียที่มีความเข้มข้นของสารอินทรีย์สูงๆ ได้ |
1. เชื้อจุลินทรีย์เจริญเติบโตช้า 2. การเริ่มต้นระบบใช้เวลานาน 3. เสถียรภาพของระบบต่ำ 4. กลิ่นและแมลงรบกวน (ถ้าเป็นระบบเปิด) |
ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาระบบนี้ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ ยังมีการนำก๊าซชีวภาพกลับไปใช้เป็นพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้มีการนำกระบวนการบำบัดแบบไม่ใช้อากาศมาใช้ในการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมกันมากขึ้น ทั้งนี้เพราะนอกจากช่วยในการบำบัดแล้ว ยังให้ผลิตภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ด้วย
สุดท้ายนี้ หากท่านผู้ประกอบการ ท่านใด มีความสนใจ หรือความต้องการ ด้านการบริหารจัดการน้ำเสีย แบบครบวงจร ที่มีมาตรฐานสากล สามารถ ติดต่อขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญของ UBA ได้ที่ info@uba.co.th แล้วพบกับดิฉัน Dr.UBA ได้ใหม่ ใน บทความครั้งต่อไป สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ
ขอขอบคุณ
ที่มาบทความ:
มูลนิธิพลังงานสีเขียว, http://efe.or.th
ที่มารูปภาพ :
http://www.thonburi-home.com/images/column_1257751259/cov01531.jpg
http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/235/39235/images/IMG_8894.jpg
http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/235/39235/images/IMG_8898.jpg
ใช้วิธีธรรมชาติได้ก็เวิร์คสุดๆไปเลยครับ สนับสนุนเต็มที่ครับผม…
แบ่งปันประสบการณ์ครับ
ผมมีเรื่อง ที่อยากแบ่งปันประสบการณ์ครับ จากคนไทย ที่ขับรถให้กับนักวิจัย ชาว อิตาเลี่ยน
เรื่องการบำบัดน้ำเสีย หรือกลิ่นเน่าเหม็น คนไทย นักวิชาการ หัวหน้าหน่วยงานต่างๆ หรือบริษัท ห้าง ร้าน ที่ทำเกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสีย มักพูดถึงเคมีมากว่าที่จะพูดถึง ระบบชีวภาพ และยังบอกว่า ระบบชีวภาพไม่ได้ผล ระบบชีวภาพ หากเป็นจุลินทรีย์จำพวกกลุ่มย่อยสลาย เพียงอย่างเดียว อาจได้ผลช้า หรืออาจไม่ได้ผล เมื่อน้ำเสียมีเคมีปนเปื้อน
นักวิทยาศาสตร์ ระดับ Prof. ชาว อิตาเลี่ยน ที่ผมขับรถให้ท่าน ทุกครั้งที่ท่านมาประเทศไทย ท่านบอกว่า การใช้สารเคมี บำบัดน้ำเสีย น้ำเสียที่บำบัดแล้ว จะยังคงมีสารเคมีปนเปื้อนอยู่
การบำบัดน้ำเสียด้วยระบบชีวภาพ ของสหรัฐอเมริกา และยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี และบางพื้นที่่ของ เวียตนาม ปัจจุบัน ใช้ระบบ Organic Enzyme and Bacterial Complex for Waste Water and Water Treatment ร่วมกับระบบบำบัดน้ำเสียที่มีอยู่เิดิม ซึ่งให้ผลในการควบคุมกลิ่นเน่าเหม็นในน้ำได้อย่างรวดเร็ว
ลักษณะการทำงานเป็นรูปแบบ เชิงซ้อน ซึ่งมีส่วนประกอบของ Enzyme ( น้ำย่อย ) หลายชนิด ซึ่งคิดค้น และผลิตโดยนักวิทยาศาสตร์ ชาว อิตาเลี่ยน สัญชาติ อเมริกัน เมื่อปี 1960
โดยเริ่มจาก การเข้าทำลายโครงสร้างจำพวกเคมี ให้เปลี่่ยนรูป ซึ่งทำให้เคมีที่ปนเปื้อนในน้ำ่เ่สื่่อมสภาพทันที หลังจากนั้น จุลินทรีย์ที่อ่อนแอจะถูกกระตุ้นด้วย ฮอร์โมน ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อย่อยสลายของแข็ง ให้ตกตะกอน ซึ่งตะกอนที่เป็นสารอินทรีย์จะค่อยๆถูกย่อยสลายให้เล็กลง ก๊าซ จำพวก NH3, H2S, NH4, CO2, จะลดลง น้ำจะเริ่มใสตามมา และจะมีออกซิเจนเพิ่มขึ้น
มันน่าทึ่งตรงที่ว่า ส่วนผสมทั้งหมดไม่มีสารเคมี แต่มีขีดความสามารถ จัดการกับสารเคมีได้ ( ข้อจำกัดของมันคือ น้ำเสียที่จะบำบัด ต้องมีค่า pH สูงกว่า 6.5 ขึ้นไป )
อัตราส่วนการใช้
บ่อน้ำ สระน้ำ แหล่งน้ำธรรมชาติ 1 : 1,000,000 ส่วน 3 – 6 เดือน / ครั้ง
น้ำเสียจากโรงงาน ผลิตอาหาร ชุมชน บ่อสิ่งปฏิกูล โรงกำจัดขยะ 6 : 1,000,000 ใช้ซ้ำเมื่อมีกลิ่น
โรงงานอุตสาหกรรรม นิคมอุตสาหกรรม ที่มีสารเคมีจำพวก ปนเปื้อน 10 – 15 : 1,000,000 ส่วน
MAZ ZAL aids in controlling these elements or others of metallic origin metalloids like lead, mercury or more so, the cyanide and arsenics are totally controlled and potentially diminished.
( ไม่มีข้อความต้นแบบ ที่เป็นภาษาไทย มีแต่ข้อความภาษาอังกฤษล้วนๆ เป็นจำนวนมาก อันนี้ยกมาตอนหนึ่งเท่านั้นครับ แปลกัน เอาเองนะ )
ซึ่งการใช้จุลินทรีย์เพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากจุลินทรีย์ จะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะแวดล้อมของน้ำที่มีองค์ประกอบของเคมีอันตราย และสารละลายที่เกิดจากโลหะหนัก ( ผมแปลมาจากงานวิจัยเรื่องบำบัดน้ำเสีย ของนักวิยาศาสตร์ ซึ่งท่านให้ผม สแกนข้อมูลทั้งหมดเอาไว้ เขาบอกว่า ผลิตขายไปแล้วทั่วโลก ที่กล้าให้ข้อมูลไว้เพราะเชื่อว่าไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ )
ส่วนการใช้บำบัดน้ำเน่าที่มี กลิ่นเหม็น กลิ่นหายเร็วมาก บ่อเลี้ยงปลา น้ำมีกลิ่นเหม็นคาว หายเร็ว 3 – 4 วัน หลังจากนั้น ปลาหายเป็นแผล
บ่อของโรงงาน ผลิตอาหาร จำพวกมันฝรั่งทอด ถูกร้องเรียนเป็นประจำ จากสำนักงานสิ่งแวดล้อมประจำเขตนั้น เคยใช้จุลินทรีย์ ไปแล้วกว่า 10 ชนิด ไม่ได้ผล เพราะ กะทะ ที่ใช้สำหรับทอด เริ่มไหม้ วิศวกรที่ดูแลบอกว่าจะต้องล้างด้วย เคมี ชนิดเข้มข้น 100 % ผมไม่รู้จักชื่อทางเคมี เขาบอกว่าเป็น โซดาไฟ เมื่อล้างเสร็จ น้ำที่ล้างทั้งหมดจะไหลรวมกันลงในบ่อกากมันและเปลือกมันฝรั่ง ซึ่งเละเหมือนโคลน และมีกลิ่นเหม็นแน่นหน้าอก มีก๊าซ เดือดปุดๆ ขึ้นเกือบทั่วบ่อ ซึ่งนักวิจัยบอกว่า เป็นก๊าซ H 2 S บ่อขนาด 5 X 10 เมตร ท่านให้เติมน้ำให้ท่วมผิวหน้าโคลนกากของเสียในบ่อให้สูงประมาณ 5 – 10 ซ.ม. หลังจากนั้น ผสมสารบำบัดน้ำเสีย 2 ลิตร กับน้ำ ประปา 100 ลิตร นำไปฉีดพ่นทั่วผิวหน้า ในบ่อที่มีกากของเสียนั้น ปล่อยทิ้งไว้ วันรุ่งขึ้น ไม่กลิ่นเหม็นให้ดม ไม่มีก๊าซที่เดือดให้เห็นอีกเลย
เล้าหมู โรงฆ่าสัตว์ หลังใช้ 24 ชั่วโมง ไปนั่งกินเหล้า กินเบียร์ หรือจะไปนั่งกินข้าวใกล้ตรงนั้นก็ได้เลย
เมื่อข้อมูลถูกแปลออกมาทั้งหมด ผมขอน้ำยา Enzyme จากบริษัทฯ ที่นำเข้า ผมลองทุกอย่างมันใช้ได้ดี ในการปรับค่า pH ของน้ำให้นิ่ง สำหรับบ่อเลี้ยงกุ้ง สีน้ำจะเขียวเอง และสวยมาก บ่อเลี้ยงกุ้ง 1 ไร่ ตลอดการเลี้ยง จะใช้ประมาณ 6 ลิตร มีการนำไปผสมน้ำรดต้นไม้ ปรากฎว่า อาการโรครากเน่าโคนเน่าหายไปได้ พืชล้มลุกโตดีกว่า และโตเร็วที่เคย
เงื่อนไขของมันคือ ต้องใช้งานร่วมกับน้ำเท่านั้น ไม่เป็นอันตราย ต่อคน สัตว์เลือดอุ่น ดิน ต้นไม้ และสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้เอง
ประโยชน์ ด้านอื่น ใช้ 5 ซีซี. ผสมน้ำถูบ้าน น้ำที่่เหลือ เทลงโถส้วม 2 – 3 ครั้ง กลิ่นส้วมจะหายไป หรือจะนำไปรดโคนต้นไม้ก็ได้
คราบน้ำมันที่กระเด็นติดผนังครัว หลังจากผนังเย็นแล้ว ใช้เข้มข้น ชุบฟองน้ำไปวนๆ ที่คราบน้ำมันเกาะอยู่ น้ำมันละลายได้ดี และล้างออกง่ายกว่าใช้น้ำยาล้างจาน แต่ใช้ล้างจานไม่ได้ จะมีกลิ่นคาวติดจาน
ผมกำลังทำโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (คลองบางพระครู) กิจกรรมอย่างหนึ่งคือต้องบำบัดน้ำเสียที่ไหลจากทุ่งนา( ซึ่งสาเหตุเกิดจากหญ้าเน่า หรืออาจเกิดจากสารเคมีในนา ) มีกลิ่นเหม็น สีดำ ไม่มีปลา หากปล่อยน้ำเสียนี้ไหลเข้าคลองบางพระครูที่ผมกำลังดำเนินโครงการักษาสภาพน้ำอยู่นี้ จะส่งผลต่อระบบนิเวศน์ของคลองบางพระครูที่ดีอยู่เดิมมีสภาพกลายเป็นแย่ลงทันที ผมขอถามต่อท่านผู้รู้ทุกท่านช่วยผมคิดหน่อยว่า ผมควรบำบัดน้ำเสียจากทุ่งนาก่อนไหลเข้ามาในคลองบางพระครู ได้อย่างไรครับ
ก่อนอื่นเราต้องดูที่มาของน้ำเสียก่อนว่ามาอย่างไร จากนั้น ต้องตรวจสภาพน้ำก่อนครับ ว่ามีสารเคมีหรืออะไรเจอปนบ้างแล้วหาทางบำบัดแก้ไขตามสภาพของน้ำครับ